flure- ยื้อ

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

ประวัติเพลงชาติไทย


เพลงชาติไทยแบบที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ถือเป็น เพลงชาติไทยลำดับที่ 7 ซึ่งประกาศใช้ในยุค จอมพล ป. พิบูลสงคราม โดย รัฐนิยมฉบับที่ 6 เมื่อ วันที่ 10 ธันวาคม 2482 ประพันธ์ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) หรือชื่อเดิม ปีเตอร์ ไฟท์ (Peter Feit) ตั้งแต่ ปี 2475 ประพันธ์เนื้อร้องโดย พันเอกหลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์)

ส่วนที่เหลือ ก่อนหน้านั้นมี เพลงชาติไทย ใช้มาแล้ว 6 เพลง เริ่มต้นระหว่าง ปี 2395 – 2414 ใช้ทำนองเพลง God Save the Queen ในการฝึกทหารของไทยสมัยนั้น ใช้แบบอย่างของประเทศอังกฤษ หมด ดังนั้นเพลง กอด เสฟเดอะควีน (God Save the Queen)จึงใช้เป็นเพลงเกียรติยศ ถวายความเคารพต่อพระ มหากษัตริย์ ใช้สำหรับกองทหารไทยในระหว่างปี พ.ศ. 2395 ถึง 2414 เรียกกันว่า "เพลงสรรเสริญพระบารมีอังกฤษ เป็นเพลงเกียรติยศถวายความเคารพ แด่องค์พระมหากษัตริย์โดยเรียกว่า เพลงสรรเสริญพระบารมีอังกฤษ แต่ต่อมาเมื่อ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ประพันธ์เนื้อร้องขึ้นใหม่แล้วเรียกชื่อว่า เพลงจอมราชจงเจริญ นั่นแหละจึงถือเป็น เพลงชาติลำดับที่ 1 “ความสุขสมบัติทั้งบริวาร เจริญพละ ปฏิภาณผ่องแผ้ว จงยืนพระชน...มาน นับรอบร้อย แฮ มีพระเกียรติเพริศแพร้ว เล่ห์ เพี้ยง จันทร”
ในยุค รัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา ในปี พ.ศ. 2414 พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาส เมืองสิงคโปร์ ในขณะนั้นสิงคโปร์ยังเป็นเมืองขึ้น ของประเทศอังกฤษอยู่ กองทหารดุริยางค์ สิงคโปร์ บรรเลงเพลงกอดเสฟเดอะควีน เพื่อถวายความเคารพ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงตระหนักดีว่าประเทศมีความจำเป็น จะต้องมีเพลงชาติที่เป็นของตัวเองขึ้น เพื่อแสดงถึงความเป็นเอกราชของชาติครั้นเมื่อทรง เสด็จกลับถึงพระนคร จึงได้โปรดให้ตั้งคณะครูดนตรีไทยขึ้น เพื่อทรงปรึกษา หาเพลงชาต ิที่มีความเป็นไทย มาใช้แทนเพลงกอดเสฟเดอะควีน คณะครูดนตรีไทย ได้เลือก เพลงทรง พระสุบัน หรือเรียกอีกอย่างว่า เพลงบุหลันลอยเลื่อน ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของ พระบาทสม เด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 โดยนำมาเรียบเรียงใหม่ ให้มีความเป็น สากลขึ้น โดย เฮวุดเซน (Heutsen) นับเป็น เพลงชาติไทยฉบับที่สอง ใช้บรรเลงในระหว่างปี พ.ศ. 2414-2431
เพลงชาติลำดับที่ 3 นั้นเกิดขึ้นในรัชสมัย รัชกาลที่ 5 เช่นกัน โดยประพันธ์ทำนองโดย นักประพันธ์ชาวรัสเซีย ปโยตร์ สชูโรฟสกี้ (Pyotr Schurovsky) คำร้องเป็นบทพระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ใช้บรรเลงเป็นเพลงชาติในระหว่าง ปี 2431 – 2475 ใช้มายาวนานเพราะมี ท่วงทำนองไพเราะ เนื้อหาสมบูรณ์ และทุกวันนี้ก็ใช้อยู่ในนามของ เพลงสรรเสริญพระบารมี นั่นเอง
เพลงชาติลำดับที่ 4 เกิดขึ้นภายหลังจากที่ประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย (24 มิถุนายน 2475) แล้ว เพลงชาติลำดับนี้เป็นเพลงชาติชั่วคราว (เนื่องจากมีการเตรียมการโดยสังเขปที่จะสร้างเพลงชาติขึ้นมาใหม่ โดยสมาชิกของคณะผู้ก่อการท่านหนึ่งมอบหมายให้ พระเจนดุริยางค์ เป็น ผู้ประพันธ์ แต่ยัง ไม่เสร็จ เลยต้องใช้ทำนองเพลงไทยเดิม คือเพลงมหาชัย ไปพลางก่อน) เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เสนาบดีกระทรวงธรรมการเป็นผู้ ประพันธ์เนื้อร้อง ซึ่งมีเนื้อหาปลุกใจให้คนไทยเกิดความรักชาติ และเกิดความสามัคคี ตลอดจนให้เลื่อมใสในรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีเนื้อร้องดังนี้

ยามอยู่คู่ฟ้าอย่าสงสัย เพราะชาติไทยเป็นไทยไปทุกเมื่อ
ชาวสยามนำสยามเหมือนนำเรือ ผ่านแก่งเกาะเพราะเพื่อชาติพ้นภัย
เราร่วมใจร่วมรักสมัครหนุน ธรรมนูญสถาปนาพรรษาใหม่
ยกสยามยิ่งยงธำรงชัย ให้คงไทยตราบสิ้นดินฟ้า

เพลงชาติลำดับนี้ใช้ในช่วงสั้น ๆ ไม่ถึง 1 เดือน ก็เปลี่ยนแปลงไป
: เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เสนาบดีกระทรวงธรรมการ

เพลงชาติลำดับที่ 5 ประพันธ์ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) เมื่อ วันที่ 4 กรกฎาคม 2475 และประพันธ์เนื้อร้องโดย ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) บรรเลงครั้งแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมเมื่อ วันที่ 7 กรกฎาคม 2475 แต่ก็ใช้อยู่เพียงระหว่าง ปี 2475 – 2477 โดยมีเนื้อร้องดังนี้

แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง ไทยเข้าครองตั้งประเทศเขตแดนสง่า
สืบชาติไทยดึกดำบรรพ์โบราณลงมา ร่วมรักษาเอกราชชนชาติไทย
บางสมัยศัตรูจู่มารบ ไทยสมทบสวนทัพเข้าขับไล่
ตลุยเลือดหมายมุ่งผดุงไผท สยามสมัยบุราณรอดตลอดมา
อันดินแดนสยามคือว่าเนื้อของชาติไทย น้ำรินไหลคือว่าเลือดของเชื้อข้า
เอกราชคือกระดูกที่เราบูชา เราจะสามัคคีร่วมมีใจ
ยึดอำนาจกุมสิทธิ์อิสรเสรี ใครย่ำยีเราจะไม่ละให้
เอาเลือดล้างให้สิ้นแผ่นดินไทย สถาปนาสยามให้เชิดชัย ชโย

กำเนิดของเพลงชาติลำดับที่ 6 นั้น สืบเนื่องมาจากการที่ในปีพุทธศักราช 2477 รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเพลงชาติขึ้นคณะหนึ่ง โดยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงเป็นประธาน และมีกรรมการท่านอื่นร่วมด้วยดังนี้คือ พระเรี่ยมวิรัชพากย์ พระเจนดุริยางค์ หลวงชำนาญนิติเกษตร จางวางทั่ว พาทยโกศล และนายมนตรี ตราโมท คณะกรรมการชุดนี้มีหน้าที่พิจารณาเกี่ยวกับเพลงชาติโดยเฉพาะ ผลการตัดสินปรากฎว่า มีเพลงชาติแบบไทย และแบบสากล อย่างละเพลงคือ แบบไทยได้แก่เพลงชาติของจางวางทั่ว พาทยโกศลที่แต่งขึ้นจากเพลงไทยเดิมชิ่อว่า “ตระนิมิตร” ส่วนทางสากลได้แก่ เพลงของ พระเจนดุริยางค์ ที่แต่งไว้แล้ว ในเวลาต่อมาคณะกรรมการชุดนี้ ได้พิจารณาว่า เพลงชาตินั้นควรจะมีลักษณะ ที่บ่งบอกถึงความศักดิ์สิทธิ์ ถ้ามีสองเพลงอาจทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ลดลง จึงร่วมกันพิจารณาใหม่ ในที่สุดตกลงว่าให้มีทางสากลเพลงเดียวคือ แบบทำนองสากลของพระเจนดุริยางค์ จึงได้จัดให้มีการประกวดบทร้องขึ้นใหม่ คณะกรรมการได้สรุปผลให้บทร้องของนายฉันท์ ขำวิไล และบทร้องของขุนวิจิตรมาตรา ได้รับรางวัล และตัดสินให้บทร้องของขุนวิจิตรมาตราได้รับรางวัลชนะเลิศ



พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์
(พระนามเดิม พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ,ม.จ.ก.,ป.จ.,ม.ป.ช.,ม.ว.ม)
หลวงชำนาญนิติเกษตร (อุทัย แสงมณี)
จางวางทั่ว พาทยโกศล
นายมนตรี ตราโมท
นายฉันท์ ขำวิไล

บทร้องที่คณะกรรมการคัดเลือกมีดังนี้
บทของนายฉันท์ ขำวิไล

เหล่าเราทั้งหลายขอน้อมกายถวายชีวิต รักษาสิทธิ์อิสระ ณ แดนสยาม
ที่พ่อแม่สู้ยอมม้วยด้วยพยายาม ปราบเสี้ยนหนามให้พินาศสืบชาติมา
แม้ถึงไทยไทยด้อยจนย่อยยับ ยังกู้กลับคงคืนได้ชื่นหน้า
ควรแก่นามงามสุดอยุธยา นั้นมิใช่ว่าจะขัดสนหมดคนดี
เหล่าเราทั้งหลายเลือดและเนื้อเชื้อชาติไทย มิให้ใครเข้าเหยียบย่ำขยำขยี้
ประคับประคองป้องสิทธิ์อิสระเสรี เมื่อภัยมีช่วยกันจนวันตาย
จะสิ้นชีพไว้ชื่อให้ลือลั่น ว่าไทยมั่นรักชาติไม่ขาดสาย
มีไมตรีดียิ่งทั้งหญิงชาย สยามมิวายอยู่มุ่งหมายเชิดชัย ไชโย

บทของขุนวิจิตรมาตรา

แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง ไทยเข้าครองตั้งประเทศเขตแดนสง่า
สืบเผ่าไทยดึกดำบรรพ์บุราณลงมา ร่วมรักษาสามัคคีทวีไทย
บางสมัยศัตรูจู่โจมตี ไทยพลีชีพร่วมรวมรุกไล่
เข้าลุยเลือดหมายมุ่งผดุงไผท สยามสมัยบุราณรอดตลอดมา
อันดินแดนสยามคือว่าเนื้อของเชื้อไทย น้ำรินไหลคือว่าเลือดของเชื้อข้า
เอกราษฎร์คือเจดีย์ที่เราบูชา เราจะสามัคคีร่วมมีใจ
รักษาชาติประเทศเอกราชจงดี ใครย่ำยีเราจะไม่ละให้
เอาเลือดล้างให้สิ้นแผ่นดินไทย สถาปนาสยามให้เทอดไท ไชโย

ในปีพุทธศักราช 2482 มีการเปลี่ยนชื่อประเทศจากคำว่า “สยาม” มาเป็น “ไทย” ทำให้จำต้องแก้ไขบทร้องในเพลงชาติด้วย รัฐบาลจึงได้จัดประกวดบทร้องเพลงชาติไทยขึ้นใหม่ผลการประกวด ปรากฎผู้ชนะได้แก่ นายพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) ส่งเข้าประกวดในนามกองทัพบก และให้ใช้ทำนองขับร้องเพลงชาติไทย ของพระเจนดุริยางค์ ตามแบบที่มีอยู่เดิม (ดังได้กล่าวแล้วในย่อหน้าแรก) กลายเป็นเพลงชาติลำดับที่ 7 (ปัจจุบัน) ซึ่งมีเนื้อร้องดังนี้


“ ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน
อยู่ดำรงไว้ได้ทั้งมวล ด้วยไทยล้วนหมาย รักสามัคคี
ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่
สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโย ”

พันเอกหลวงสารานุประพันธ์ มีความปราบปลื้มและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับได้สั่งเสียบุตร ธิดา ไว้ว่า “ฉันได้สั่งบุตรธิดาของฉันไว้ทุกคนว่า ในกาลภายหน้าเมื่อถึงวาระที่ฉันจะต้องเกษียณอายุลาโลกไปแล้ว ขณะใกล้จะขาดอัสสาสะ ขอให้หาจานเสียงเพลงชาติอันนี้ มาเปิดให้ฟังให้จงได้ เพื่อบังเกิดความชุ่มชื่นระรื่นใจ อันไม่มีเสื่อมคลายตราบสิ้นปราณ”

นายพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์)
โน้ตเพลงชาติไทย ปัจจุบัน

- - ด ด- - ม ซ- - - ซ- - ซ ล- - ท ด- - ร ม- - - ม
- - ม ม- - ร ด- - ล ซ- - ล ท- - ด ม- - ด ร- - ด ด
- - - ด- - ด ด- - ด ด- - ม ซ- - - ซ- - ซ ล- - ซ ฟ
- - ล ซ- - - -- - ม -- - - ม- - ฟ ม- - - ร- - - -
- - - ร- - ม ร- - ด ด- - - -- - - ด- - ม ซ- - - ซ
- - ซ ล- - ซ ฟ- - ล ซ- - - -- - - -- - - ซ- - ล ท
- - ซ ร- - - -- - ร ล- - ท ล- - - -- - - ซ- - - ซ
- - ล ซ- - ฟ ร- - - -- - - ฟ- - ล ซ- - ม ด- - - -
- - - ด- - ม ร- - - ร- - ร ล- - - ท- - ล ซ- - - -
- - - -- - ด ด- - ม ซ- - - ซ- - ซ ล- - ท ด- - ร ม
- - - -- - - -- - ร ด- - ล ซ- - ล ท- - ด ม- - ด ร
- - ด ด- - - -- - - -

Read More

Read More

Read More

ตะลุยทะเลแหวก,กระบี่


วันนี้ลงใต้กันดีกว่าเน๊อะ มาพบเจอกับกระบี่ Krabi lively town lovely people "เมืองน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก" คำขวัญสั้นๆง่ายๆแต่ได้ใจความของเมืองกระบี่ ทำให้ใครๆที่ได้อ่านจำได้อย่างรวดเร็ว เเทบไม่ต้องทวนอีกรอบ หุหุ ได้มีโอกาสไปเยื่อนกระบี่ถึงจะเป็นเพียงแค่เวลาไม่กี่วัน แต่กลับรู้สึกอิ่มกับการซึมซับบรรยกาศแบบทะเลใต้ด้านฝั่งอันดามันได้อย่างจุใจทีเดียว

ส่วนที่เหลือ
มองหาที่พักที่เป็นจุดศูนย์กลางการออกทะเลไปตามเกาะต่างๆ อย่างเช่น อ่าวนาง เริ่มทริปแรกแบบสบายๆๆ ที่ทริป 4 เกาะ คือ เกาะไก่ ที่เรียกว่าเกาะไก่ก็เพราะว่าทางด้านปลายสุดของเกาะมีหินแหลมๆ เมื่อมองขึ้นไปแล้วคล้ายคอไก่ บ้างก็ว่าคล้ายๆ ไก่งวง จะคล้ายอะไรก็แล้วแต่คนมองจะจินตนาการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่เราว่าเหมือนไก่ เกาะไก่เป็นเกาะที่เราสามารถหยุดเรือแล้วลงไปว่ายน้ำแข่งกับปลาเสือได้โดยต้องหลอกล่อปลาให้มาเล่นกับเราด้วยการให้ขนมปัง โรยไว้รอบๆตัวแล้วปลาก็จะมาอยู่ล้อมรอบเรา โอย...เสียปลาตอดๆๆ เจงๆๆ เกาะไก่ เกาะทับ แล้วก็เกาะหม้อ เป็นอีก 3 เกาะเด่นที่อยู่ในหมู่เกาะปอดะ เมื่อน้ำลด ทั้งสามเกาะจะถูกเชื่อมต่อเข้าหากัน ด้วยหาดทรายที่ขาวสะอาดทอดยาว ความสวยงามนี้เองทำให้ทั้งสามเกาะนี้นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทะเลแหวก Unseen อีกแห่งหนึ่งของเมืองไทย และเป็นที่ที่เราจะพูดถึงต่อไปนี้เอง ป่ะลุยยยย

บริเวณทะเลแหวกที่เราสามารถเดินเหยียบทรายขาวละเอียด จากเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่งได้เวลาน้ำลด ซึ่งเป็นหนึ่งใน Unseen Thailand ที่เป็นความภูมิใจของชาวกระบี่ที่มีจุดสวยงามอย่างมหัศจรรย์ เช่นนี้ไว้ให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกได้ชื่นชมกันเมื่อสันทรายโผล่เพราะน้ำลด ทะเลแหวกเกิดจากสันทรายจากเกาะสามเกะคือเกาะไก่ เกาะหม้อ เกาะทับ ทั้งสามเกาะนี้ อยู่ใกล้ๆ มีสันฐานติดกันเมื่อมีคลื่นพักทรายมาพบกันที่จุดนี้จึ่งทำให้เกิดเป็นแนวสันทรายที่สามารถเชื่อมเกาะทั้งสามเกาะนี้ให้ถึงกัน สันทรายนี้จะจมหายไปเมื่อน้ำขึ้นสูง และเมื่อน้ำลดแนวสันทรายก็จะค่อยๆโผล่ ขึ้นมาทีละนิดเหมือนกันว่าแบ่งทะเลให้แยกออกกันเป็นสามส่วน แต่ถึงสันทรายจะไม่โผล่ขึ้นมาเราก็สามารถเดินเล่นได้ หาดทรายของทะเลแหวกนั้น ขาวสะอาดจริงๆ ทุกครั้งที่น้ำท่วมทรายก็เหมือนกับเป็นการทำความสะอาดหาดทรายไปในตัว พวกเศษขยะจะหายไปตามคลื่นเมื่อน้ำขึ้น ส่วนช่วงเวลาที่ควรมาเที่ยวทะเลแหวกก็เป็นช่วง พฤศจิกายน ถึง ต้นเดือนพฤษภาคม รับรองไม่ผิดหวัง

ต่อด้วยเกาะทับ เกาะที่เราสามารถมองเห็นปะการังน้ำตื้นได้โดยที่ไม่ต้องลงไปดำกันลึกๆ....แวะพักเล่นน้ำให้ความสวยของทะเลแทรกซึกกันเข้าไปในร่างกายเลย ในบรรยากาศอันเงียบสงบ(ต้องไปวันเวลาไม่ใช่ในช่วงเทศกาลนะถึงจะได้อารมณ์อย่างที่บอก) หาดทรายขาวละเอียดที่เกาะปอดะ ความขาวสะอาดของทรายทำให้เราอดใจที่จะยอมตัวดำลงไปเล่นกับเม็ดทรายที่ละเอียด นุ่มมือ เล่นกันจนลืมเวลา ว่าเวลาได้ล่วงเลยไปเร็วมาก และแล้ววันนี้เราก็จบทริปแรกด้วยการว่ายน้ำทะเลใสนั่งเเละนอนมองฟ้าใสๆ อากาศสบายๆสดชื่นปอด บนหาดทรายขาวละเอียดนุ่ม รอที่จะพบกับความสวยงามจากธรรมชาติที่เป็นไฮไลท์ของงานก็คือ การได้นั่งรอชม รอถ่ายภาพ พระอาทิตย์ตัดกับขอบทะเล เหมือนเป็นของขวัญจากธรรมชาติปิดท้ายการเที่ยววันแรกให้สมบูรณ์แบบได้อย่างลงตัวจริงๆๆ ขอบอกว่าบรรยากาศโรแมนติกมากๆก๊าบ พี่น้อง

ส่วนเรื่องการเดินทางไปยัง ทะเลแหวก เกาะปอดะ เกาะไก่จากอ่าวนาง ก็จะมีเรือให้เช่าเหมาลำให้บริการพานักท่องเที่ยวไปเที่ยวชมทะเลแหวก หรือ หมู่เกาะปอดะซึ่งการเดินทางไปยัง ทะเลแหวก นี้จะไม่มีเรือโดยสารแบบประจำทางจะต้องเช่าเรือเหมาลำซึ่งมีให้เลือกทั้ง เรือหางยาวช้าหน่อยแต่ได้บรรยากาศ ร้อน ตื่นเต้น โต้คลื่น ถ้าไม่ใจก็อย่าเลยดีกว่า อิอิ หรืออีกแบบก็ เรือ Speed boad หรูหรา ไฮโซ หากเน้นความเร็วในการเดินทาง

ค่าใช้จ่ายสำหรับการมาเที่ยว ทะเลแหวก เกาะปอดะ เกาะไก่
แพคเก็จเดินทางโดยเรือหางยาว ราคาท่านละ 350 - 450 บาท แพคเก็จเดินทางโดยเรือสปีดโบ๊ท ราคาท่านละ 800 - 1,000 บาท ราคาจะอยู่ประมาณนี้ แต่ว่าตอนนี้น้ำมันแพงไม่รู้ว่าเท่าไหร่แว้วหง่ะ ยังไงก็น่าจะไม่แพงไปกว่านี้แล้วน้า โรงแรม & รีสอร์ทใน ทะเลแหวก เกาะปอดะ เกาะไก่ มีมากมายหลายราคามาให้เลือกสรรกัน เลือกเอาตามความชอบ ของเงินในกระเป๋านะค่ะ พักถูกๆก็ได้ เพราะว่าเราจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับทะเลมากกว่า โรงแรมเอาไว้นอนข้ามคืนเท่านั้น หุหุ ดูรายละเอียดที่พักราคาถูกได้ที่ Hotelsthailand.com ชอบสไตล์ไหนก็ลองเลือกดูนะจ๊ะ หุหุ ได้ดูภาพกันไปแล้วอยากไปมั่งม้า เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมรอไปอีกไม่กี่เดือนก็จะถึงฤดูที่เที่ยวทะเลแหวกกันเเล้วประมาณเดือนพฤศจิการยน - พฤษาภาคมนะ ถ้ายังไม่มีแผนการเดินทางไปเที่ยวไหนในช่วงเวลานี้ก็ลองรับทะเลแหวกเป็นหนึ่งในตัวเลือกก็ได้นะค่ะ เรียกได้ว่าไปเที่ยวที่กะบี่ที่เดียว เที่ยวได้หลายเกาะสวยๆของกะบี่ตั้งเยอะ คุ้มเกินคุ้มก๊าบ ยังไงเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมแล้วไปสัมผัสกับความสวยงามที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมากันได้เลย

Read More

Read More

Read More

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

GTO:คุณครูพันธ์หายาก lesson1

Read More

Read More

Read More

คลิปขำๆครับ

Read More

Read More

Read More

free hugs campaign

Read More

Read More

Read More

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

ความพอดี

วันนี้ขอย้อนกลับไปสมัยราชวงศ์ซ้อง

เจ้าเมืองต้องการส่งข่าวด่วนให้แม่ทัพที่ชายแดน แต่เกรงว่าจะไม่ทันการ จึงให้ม้าตัวหนึ่งแก่ผู้นำสาร

ผู้นำสารได้ม้าแล้วก็ตีม้าเต็มเหยียด ส่วนตัวเองวิ่งตามหลังม้า ขุนนางผู้หนึ่งเห็นเข้าก็อดสงสัยไม่ได้ จึงถามว่า "เรื่องนี้เร่งด่วนนัก ทำไมเจ้าไม่ขี่ม้า"

ผู้นำสารตอบว่า

"วิ่งหกขาก็ต้องเร็วกว่าสี่ขาสิครับ"


สี่ขาเร็วกว่าสองขาก็จริงอยู่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหกขาต้องเร็วกว่าสี่ขา ความเป็นจริงนั้นไม่ใช่บัญญัติไตรยางค์ แต่บ่อยครั้งคนเราก็เผลอคิดอย่างนั้น เช่นคิดว่า ยิ่งมีเงินมากเท่าไร ก็ยิ่งสุขมากเท่านั้น ถ้าเงินแสนทำให้มีความสุข เงินสิบล้านก็ยิ่งทำให้สุโขสโมสรเพิ่มขึ้น แต่ชีวิตจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ มีเงินมากมายมหาศาลดังกล่าวกลับจะทำให้สุขน้อยลงกว่าตอนที่มีแค่แสน เพราะไหนจะต้องคอยห่วงกังวลว่าใครจะมาขโมยไป ไหนจะต้องครุ่นคิดว่าจะเอาเงินไปลงทุนที่ไหนถึงจะได้ผลตอบแทนสูงสุด ไหนจะต้องปวดหัวที่ใครต่อใครก็มาขอเงิน ครั้นไม่ให้ก็กลัวจะผิดใจกันแถมยังคิดไม่ตกว่าจะเอาเงินไปซื้อรถยี่ห้อไหน หรือเที่ยวประเทศไหนดี เพราะมีทางเลือกมากมายจนงงไปหมด ฯลฯ


ความสุขนั้นไม่ใช่กราฟเส้นตรงที่จะพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามจำนวนเงินและทรัพย์ที่มี แต่คล้ายกับกราฟรูประฆังหรือครึ่งวงรี คือตอนที่ไม่มีเงินเลยก็ทุกข์ พอมีเงินก็เริ่มมีความสุข ทีแรกความสุขก็เพิ่มตามจำนวนเงิน แต่ถ้าเลยจุดพอดีไปแล้ว มีเงินเพิ่มขึ้นกลับจะทำให้ความสุขลดลง ถึงตอนนี้ยิ่งมีมากเท่าไร เส้นความสุขก็ยิ่งดิ่งลงมากเท่านั้น

จึงไม่น่าแปลกใจที่คนรวยล้นฟ้าส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร แค่จะนอนให้หลับก็ต้องกินยาเป็นกำ ถ้าไม่อยากให้ความสุขลดลง ควรกลับไปหาความพอดี ซึ่งเป็นจุดที่ความสุขพุ่งสูงสุด ความพอดีที่ว่าก็คือชีวิตที่พออยู่พอกิน ไม่ยากจนและไม่ฟุ้งเฟ้อ หากมีความสะดวกสบายพอสมควร

ถ้าสี่ขาคือความเร็วที่เหนือสองขาและหกขา ความพอดีก็คือความสุขที่เหนือความยากไร้และความฟุ้งเฟ้อนั่นเอง

ก่อนจบขอแถมเรื่องเบา ๆ ที่แฝงข้อคิดจากราชวงศ์ซ้องเช่นกัน


ชายคนหนึ่งถือไม้ยาวจะเข้าประตูเมือง ครั้งแรกถือแบบแนวตั้ง แต่เนื่องจากประตูเมืองสูงไม่พอ จึงเข้าไม่ได้ ครั้นเปลี่ยนมาถือแบบแนวนอน ก็ติดอีกเพราะประตูเมืองกว้างไม่พอ

ชายชราคนหนึ่งเห็นเข้า จึงออกความคิดว่า

"ถึงฉันจะไม่ใช่ผู้รู้ แต่ก็พอมีประสบการณ์อยู่บ้าง ทำไมเธอไม่ตัดไม้ลำนี้เป็นสองท่อนเล่า"

คุณคิดว่า เรื่องนี้แฝงข้อคิด หรือเปรียบเปรยอะไรบางอย่างเกี่ยวกับคนเราบ้างหรือไม่ ลองคิดดูเล่น ๆ ก็แล้วกัน ใครนึกออกก็ช่วยเขียนมาบอกบ้าง

Read More

Read More

Read More

วิธีดูแลตัวเองเมื่อต้องเดินตากฝน


วิธีดูแลตัวเองเมื่อต้องเดินตากฝน

มีเคล็ดลับการดูแลตัวเองง่ายๆ มาฝากกัน โดยเฉพาะในช่วงที่ฝนตกบ่อยๆ แบบนี้ ส่งผลให้ใครหลายคนเปียกฝนไปตามๆ กัน ขณะที่เพิ่งออกจากที่ทำงานได้ไม่นาน ฝนตกลงมาพอดี และบังเอิญคุณหาที่หลบฝนไม่ทัน หลายคนบอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะเป็นพระเอกมิวสิกวิดีโอสักหน่อย แต่ทำอย่างไรได้ฝนตกลงมาพอดี ถ้ารอให้ฝนหยุดก็อาจจะกลับบ้านช้า ก็เลยมีบางครั้งที่ทำให้เราเผลอเดินตากฝนโดยไม่ตั้งใจ ผลที่เกิดขึ้นนอกจากเสื้อผ้าจะเปียกชื้น และร่างกายของคุณหนาวเหน็บแล้ว ยังเป็นการเสี่ยงต่อการติดเชื้อ อันเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคผิวหนังอีกด้วย

วิธีการดูแลรักษากรณีเดินลุยฝน
1. เริ่มต้นจากการทำเสื้อผ้าให้แห้งสนิท โดยเร็ว
2. เมื่อกลับถึงบ้านให้คุณรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทันที เหตุผลก็คือการใส่เสื้อผ้าเปียกๆ ก่อให้เกิดการหมักหมม และอาจกลายเป็นแหล่งเชื้อราโดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ และอาจทำให้คุณไม่สบายเป็นหวัด รวมไปถึงเป็นปอดบวมได้อีกด้วย
3. แน่นอนที่ถุงเท้ากับรองเท้าย่อมเปียกฝน เพราะฉะนั้นให้คุณถอดออกทันที และควรเร่งทำให้แห้งแต่โดยเร็ว
4. เราควรเรียนรู้ว่าการปล่อยให้เท้าเปียกชื้นนานๆ ส่งผลให้เท้าซีด และอาจลอกเป็นขุยได้
5. คุณต้องเข้าใจว่าหากปล่อยให้เท้าชื้นนานๆ อาจจะทำให้ติดเชื้อราได้ง่าย ทั้งนี้ โรคเชื้อราที่พบบ่อยคือ ฮ่องกงฟุต โดยเฉพาะที่บริเวณซอกนิ้วเท้า
6. เมื่อกลับมาถึงบ้าน และเท้ายังเปียกชื้น อันเป็นผลมาจากการย่ำน้ำในซอยของหมู่บ้าน ให้คุณเร่งทำความสะอาดที่เท้าด้วยการฟอกสบู่ จากนั้นก็ล้างด้วยน้ำสะอาด ต่อมาก็เช็ดเท้าให้แห้ง
7. การใช้แป้งฝุ่นทาที่เท้าหลังทำความสะอาดจะช่วยให้เท้าสบายมากขึ้น

วิธีการดูแลเส้นผม
1. เมื่อกลับมาถึงบ้านให้คุณเร่งทำความสะอาดเส้นผม ด้วยการสระผมด้วยแชมพูสระผมหรือผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมไปเลย
2. จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณอาจจะต้องใช้แชมพูสระผมที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา นั่นเป็นเพราะว่าการที่คุณเดินตากฝนนั้น อาจจะมีเชื้อโรคปะปนมา และการที่คุณไม่ยอมสระผมในค่ำคืนนั้นเลยเส้นผมของคุณอาจเกิดอาการได้รับเชื้อราและรังแคได้ เพราะฉะนั้นให้สระผมหลังจากที่คุณเพิ่งเดินตากฝน
3. ที่สำคัญก็คือคุณไม่ควรนอน ในขณะที่เส้นผมยังเปียกน้ำฝนอยู่

หลักการง่ายๆ ที่กล่าวมานี้จะช่วยให้คุณใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ไม่ต้องวิตกกังวลกับฝนที่กระหน่ำตกลงมานัก ทว่าวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับคุณ ก็คือ การหลีกเลี่ยง ไม่เดินตากฝนนั่นเอง

Read More

Read More

Read More

มวยปล้ำ WWE: THE ROCK vs STONE COLD


Read More

Read More

Read More

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

เลือกกิน Fast-Food อย่างฉลาด ต้องทำไง?

ใครบ้างที่รู้ทั้งรู้ว่าของกินเหล่านี้เป็นตัวทำน้ำหนักทั้งนั้น แต่ก็ยังกินไม่บันยะบันยัง... และใครบ้างที่อยากเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน Fast-Food วิธีเลือกกินต่อไปนี้อาจช่วยให้คุณได้อะไรมากกว่าอาหารจานด่วนค่ะ พิซซ่าหน้าผัก - หรือเมนูที่มีส่วนผสมของผักและผลไม้ต่างๆ จะช่วยเพิ่มกากใยอาหาร วิตามิน และเกลือแร่ที่แม้จะมีอยู่น้อยนิด แต่ก็ดีกว่ารับแป้งและไขมันไปอย่างเดียวเต็มๆ เติมได้ไม่อั้น...ไม่เอา! - ประเภทน้ำอัดลมแก้วเดียวแต่เติมหลายหน คุ้มเงินก็จริงแต่ไม่คุ้มกับสุขภาพกระดูกที่อาจพรุนได้ ในอนาคตหรอกค่ะ สั่งเป็นน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้สดมาดื่มจะดีกว่า สั่งชุดเล็กไว้ก่อน - เพราะความหิวบางครั้งก็เป็นแค่เพียงอารมณ์อยากกิน พอได้ลิ้มรสชาติก็หายอยากแล้ว ไม่จำเป็นต้องกินให้อิ่มแทนข้าวหรอกค่ะ แต่ถ้าหิวจริงก็อย่ารอให้หิวจัด สั่งสลัดมารองท้องก่อนจะได้ไม่ต้องกินจานหลักเข้าไปมาก ต้องใจแข็งเข้าไว้- อย่าเพิ่มชีส เพิ่มแป้ง หรือเพิ่มสารพัดความพิเศษที่เป็นคาร์โบไฮเดรตและไขมันให้กับมื้อนี้อีกเลย เพราะสิ่งที่เพิ่มขึ้นมา ก็คือน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นด้วย เท่านี้คุณก็อยู่กับอาหารที่ชื่นชอบได้ แต่ก็อย่าให้บ่อยนัก ลดและละบ้าง

Read More

Read More

Read More

บทวิเคราะห์: วิกฤตวงการยา...กับบทเรียนจากหวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009


หากมองถึงปัญหาทางด้านสาธาณสุขในการควบคุมป้องกันโรคของไทย จากกรณีการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 อาจกล่าวได้ว่าการทำงานด้านสาธารณสุขในการป้องกันควบคุมโรคของไทยยังไม่เกิดประสิทธิผลอย่างเต็มที่นัก เพราะที่ผ่านมาการระบาดของโรคยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอัตราผู้เสียชีวิตของไทยจากโรคดังกล่าว ยังมีสถิติที่สูงมากหากเทียบกับประเทศอื่นในแถบภูมิภาคเอเชีย ที่สำคัญคือ การระบาดของโรคใหม่ๆ ที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในภาวะโลกร้อนเช่นนี้ ปัญหาเหล่านี้เกิดจากปัจจัยใด สำนักข่าวแห่งชาติ ได้ประมวลปัญหาด้านสาธารณสุขของคนไทย ซึ่งพบว่ามีข้อมูลที่น่าสนใจหลายประการ ดังนี้

ปัญหาด้านการใช้ยาของคนไทย

พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้ยาทั้งที่ผลิตเองในประเทศและยาที่นำเข้าจากบริษัทต่างชาติ ซึ่งในการควบคุมการใช้ยาของไทยเป็นไปตามนโยบายแห่งชาติด้านยา พ.ศ.2536 และพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2530 และยังคงมีการแก้ไขเพิ่มเติมในปัจจุบัน ทั้งนี้ ผศ.ภญ.สำลี ใจดี ประธานคณะกรรมการกำกับทิศทาง แผนงานฯ กล่าวในการประชุมวิชาการเพื่อการพัฒนาระบบยา ประจำปี 2552 เมื่อวันที่ 3-4 สิงหาคม ที่ผ่านมาว่า ปัญหาด้านการใช้ยาของประเทศไทยยังคงขาดทิศทางการพัฒนาระบบยา อย่างเรื่องของกฎหมายที่ยังคงล่าช้า ไม่ทันต่อสถานการณ์ รวมถึงยังคงมีการแก้ไขไม่แล้วเสร็จ ความล่าช้าเหล่านี้ รวมถึงปัจจัยการเมืองที่มีผลต่อการกำกับดูแลทำให้การขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาระบบยาเป็นไปได้ยากและไม่มีทิศทางชัดเจน นอกจากนี้ ภญ.ศิริพร จิตรประสิทธิศิริ จากโรงพยาบาลสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา นำเสนอผลการสำรวจเบื้องต้นในโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลชุมชน ร้านยา และร้านขายของชำ ใน 40 อำเภอ 20 จังหวัดของ 4 ภูมิภาค พบว่า ยาบางตัวที่ถอนทะเบียนในประเทศไทยแล้วก็ยังพบในบางพื้นที่ โดยเฉพาะร้านขายของชำทั้ง 116 แห่ง ที่มีการสำรวจนั้นพบการขายยาไม่เหมาะสมทุกแห่ง เช่น Chloramphenicol syrup ยาฆ่าเชื้อใช้ในเด็กและการเลี้ยงไก่, Oxytetracycline HCl (Noxy) ขึ้นทะเบียนยาสำหรับสัตว์ และมียาชื่อใกล้เคียงกัน แต่นำไปใช้ในคน Piroxicam (Pox-99) ยาแก้ปวดเมื่อย มีผลข้างเคียงสูง เป็นต้น เหล่านี้สะท้อนว่า มาตรการด้านการควบคุมการใช้ยาในปัจจุบัน ยังไม่สามารถควบคุมได้อย่างเต็มที่ ซึ่งหากมองถึงการจ่ายยาโอเซลทามิเวียร์ตามคลินิกต่างๆ ทั่วประเทศ ในชนิดแคปซูล ซึ่งหากจะให้เด็กกินยาจะต้องละลายยาในน้ำเชื่อมเพื่อให้เป็นชนิดน้ำ เก็บบรรจุในขวดแก้วสีชา ก่อนกินยาต้องเขย่าขวดทุกครั้ง ซึ่งหากไม่เขย่าขวดหรือนำยาไปผสมกับเครื่องดื่มอื่นเช่นนม จะทำให้เด็กได้ยาไม่ครบตามปริมาณที่ใช้ในการรักษาจึงมีโอกาสดื้อยาจะสูงมาก

ปัญหาด้านผู้บริโภค

พบว่า คนไทยมีปัญหาด้านขาดข้อมูลทางสาธารณสุข เช่น จากมาตรการป้องกันสถานการณ์ระบาดโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้มีการแจกคู่มือป้องกันโรคให้ประชาชน แต่จากการสำรวจของทางสาธารณสุขพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่อ่านรายละเอียด จึงทำให้ไม่มีความรู้วิธีป้องกันโรคที่ถูกต้อง จึงเห็นได้ว่าประชาชนขาดความเข้าใจและไม่ใส่ใจในการควบคุมป้องกันโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง

ปัญหาด้านบุคลากรทางการแพทย์

เช่นเดียวกับแพทย์ ที่รับคู่มือแนวทางการรักษาผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ไป พบว่ามีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้นที่อ่านคู่มือ แสดงให้เห็นว่า การขาดการศึกษาข้อมูลข่าวสาร ทำให้กลไกในการป้องกันโรคไม่เกิดประสิทธิผลมากนัก... ส่วนประเด็นการด้านการจ่ายยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ตามคลินิกเอกชนในกรุงเทพฯ พบว่าคลินิกส่วนใหญ่ไม่เข้าร่วมโครงการจ่ายยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ สาเหตุเพราะกลัวจะเพิ่มภาระการทำงาน ซึ่งพบว่าจังหวัดที่มีคลินิกเข้าร่วมโครงการส่วนใหญ่อยู่ในเขตเทศบาลกว่าร้อยละ 80 และแพทย์ประจำคลินิกส่วนใหญ่ทำงานในโรงพยาบาลรัฐด้วย จึงมีความเข้าใจแนวทางการรักษาดีกว่า ทั้งหมดนี้ ถือเป็นปัญหาของไทยที่อาจต้องมีการย้อนกลับมามองตนเองให้มากขึ้น เพราะในปัจจุบัน การระบาดของโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำ เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างกาฬโรคปอดในจีน มาตรการในการควบคุมป้องกันที่ออกมาเพียงกำหนดกฎเกณฑ์จึงอาจไม่มีความหมาย หากไม่ได้มีการพัฒนาปัญหาจากระบบและบุคคลากรในสังคม

Read More

Read More

Read More

อาหาร 8 ชนิดสร้างภูมิสู้...หวัด


อาหาร 8 ชนิดสร้างภูมิสู้...หวัด
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะ อาหาร 8 ชนิดดังต่อไปนี้ที่เชื่อว่าอาจให้ผลในการช่วยเพิ่มภูมิต้านทานป้องกันหรือลด ความรุนแรงของหวัด ประกอบด้วย
1. อาหารรสเผ็ดรวมทั้งเครื่องเทศ เช่น กระเทียม พริก ลดอาการคัดจมูก ช่วยให้หายใจโล่งขึ้น
2. กระเทียม ช่วยลดอาการหวัด จะเติมลงในอาหารหรือเคี้ยวสดๆ วันละ 1 - 2 กลีบก็ได้
3. ดื่มน้ำมากๆ แทนที่จะดื่มกาแฟ น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีรสหวาน อาจดื่มน้ำผลไม้คั้นสดบ้างเพื่อเสริมวิตามินซี เครื่องดื่มร้อนที่ช่วยได้ เช่น ชา น้ำมะนาวอุ่นๆ จะช่วยลดเสมหะได้
4. ซุปไก่ร้อนๆ ช่วยลดอาการคัดจมูก อาจเติมผักหลายๆ สี เพื่อเพิ่มสารแอนติออกซิแดนต์ ทำให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดี ซุปไก่ที่ผ่านกระบวนการตุ๋นเคี่ยวนานๆ จนโปรตีนย่อยสลายเป็นไดเปปไทด์ อาจช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายสดชื่น และยังให้โปรตีนที่ดีต่อร่างกายด้วย
5. สารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบต้าแคโรทีน (วิตามินเอ) วิตามินซี วิตามินอี ช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันการติดเชื้อ ผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น แครอท ผักใบเขียวจัด ส้ม ฝรั่ง องุ่น แคนตาลูป มะละกอสุก เป็นต้น
6. ผลไม้ตระกูลส้ม ซึ่งมีวิตามินซีสูง ช่วยลดความเสี่ยงการติดหวัดโดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่หรืออยู่ในแวดวงคนสูบ บุหรี่ บุหรี่เองเพิ่มความเสี่ยงการเป็นหวัดและทำให้ร่างกายต้องการวิตามินซีสูง ขึ้น
7. อาหารอื่นๆ ที่เป็นแหล่งวิตามินซี เช่น ฝรั่ง พริกหวาน สตรอเบอร์รี่ สับปะรด กะหล่ำปลี ล้วนแล้วแต่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน
8. ขิง ช่วยลดอาการหวัดและป้องกันหวัด น้ำขิงร้อนๆ ผสมกระเทียม 2 - 3 กลีบ ช่วยให้ระบบหายใจทำงานคล่องขึ้น

Read More

Read More

Read More

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

picasa

Posted by Picasa

Read More

Read More

Read More

สมุทรสาคร-มหาสารคาม

google maps


ดู แผนที่จาก google ในแผนที่ขนาดใหญ่กว่า